ทุกวันนี้เวลาที่เรานำรถยนต์เข้าไปเติมน้ำมัน จะเห็นได้ว่าภายในสถานีบริการน้ำมันนั้น จะมีน้ำมันแยกประเภทเป็นตัวเลือกให้เราเลือกเติมอยู่หลายประเภทด้วยกัน ซึ่งปกติแล้วรถของคุณเติมน้ำมันประเภทไหนกันบ้างครับ? หากพูดถึงน้ำมันรถยนต์ที่เราเติมกันในปัจจุบันนี้ที่ราคาถูกก็คงต้องยกให้ “น้ำมันดีเซล B20” เข้ามาเป็นหนึ่งในผลสำรวจ แต่ในความเป็นจริงแล้วหลายคนกลับยังไม่คุ้นกับชื่อน้ำมันดีเซล B20 สักเท่าไรว่าน้ำมันชนิดนี้คืออะไรและใช้ได้กับรถรุ่นไหนได้บ้าง? ซึ่งวันนี้เราจะมาทำความรู้จักกันครับว่าน้ำมันดีเซล B20 กันครับว่าดีและมีประโยชน์อย่างไรบ้าง ที่สำคัญคือรถรุ่นไหนบ้างที่สามารถเติมน้ำมันชนิดนี้ได้โดยที่เครื่องจะไม่มีปัญหา เราไปดูกันเลยครับ
น้ำมันดีเซล B20 คืออะไร?
น้ำมันดีเซล คือ น้ำมันที่มีส่วนผสมของไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกดไขมัน (B100) ในอัตราส่วนร้อยละ 20 โดยปริมาตร (น้ำมันไบโอดีเซล 20% + ดีเซล 80%) แล้วไบโอดีเซลคืออะไร? ต้องบอกเลยว่าไบโอดีเซล (B100) นั้น เป็นเชื้อเพลิงดีเซลที่ผลิตจากแหล่งทรัพยากรหมุนเวียน เช่น ปาล์มน้ำมัน คุณสมบัติสำคัญของไบโอดีเซลก็คือสามารถย่อยสลายได้เองตามกระบวนการชีวภาพในธรรมชาติ และไม่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม อย่างประเทศไทยของเรานั้น น้ำมันไบโอดีเซลส่วนใหญ่จะผลิตจากปาล์มน้ำมันที่ถือว่าเป็นผลิตผลจากการเกษตรของพี่น้องเกษตรกรภายในประเทศของเรานั่นเองครับ
ประโยชน์ของน้ำมันดีเซล B20
⬛️ สร้างสมดุลให้ราคาปาล์มน้ำมัน เนื่องจากน้ำมันไบโอดีเซลส่วนใหญ่ผลิตจากปาล์มน้ำมันที่เป็นผลผลิตของเกษตร นอกจากนี้ยังช่วยสร้างคุณภาพชีวิตเกษตรกรให้ดีขึ้นอีกด้วยครับ
⬛️ บรรเทาปัญหามลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 เนื่องจากน้ำมันดีเซล B20 นั้นเป็นน้ำมันดีเซลที่มีส่วนผสมของไบโอดีเซล B100 ซึ่งเป็นพลังงานสะอาด เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในอัตราส่วนร้อยละ 20 โดยปริมาตร
⬛️ ลดผลกระทบค่าครองชีพประชาชนด้านค่าขนส่ง เนื่องจากช่วยลดรายจ่ายค่าน้ำมันให้รถบรรทุกขนาดใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะราคาของน้ำมันดีเซล B20 ถูกกว่าราคาน้ำมันดีเซลเกรดปกตินั่นเองครับ
น้ำมันดีเซล B20 ใช้กับรถประเภทไหน?
สำหรับน้ำมันดีเซล B20 ในช่วงเริ่มต้นได้มีการรณรงค์ให้ใช้สำหรับรถบรรทุกขนาดใหญ่ที่ถือว่าเป็นรถที่ใช้น้ำมันในปริมาณมาก รวมไปถึงรถโดยสารสาธารณะอย่างรถโดยสารของ ขสมก. เช่นกัน ซึ่งในช่วงต้นปีที่ผ่านมานั้นประเทศไทยเราประสบปัญหาวิกฤตมลพิษทางอากาศจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ด้วยเหตุนี้ทำให้ทาง ขสมก. สนับสนุนนโยบายภาครัฐเปลี่ยนมาใช้น้ำมัน B20 ไปกว่า 2,000 คัน ซึ่งนอกจากรถยนต์แล้ว น้ำมันดีเซล B20 ยังสามารถใช้ได้กับเครื่องยนต์เรืออย่างเรือด่วนเจ้าพระยาได้อีกด้วยครับ
1) รุ่นรถบรรทุกขนาดใหญ่ที่ใช้น้ำมันดีเซล B20 ได้
สำหรับรถบรรทุกขนาดใหญ่ที่สามารถใช้น้ำมัน B20 ได้นั้นมีด้วยกัน 5 ยี่ห้อ คือฮีโน่ อีซูซุ สแกนเนีย ยูดีทรัคส์ และวอลโว่ ซึ่งสำหรับรถยนต์อีซูซุนั้นรุ่นที่สามารถใช้น้ำมัน B20 ได้โดยไม่มีปัญหาจะเป็นรุ่นที่ผลิตหรือนำเข้าตั้งแต่ปี 1994 ไปจนถึงปี 2017 ซึ่งหากใครที่มีรถรุ่นนี้สามารถดาวน์โหลดเอกสารตรวจสอบรายชื่อและเงื่อนไขในการรับรองของรถบรรทุกขนาดใหญ่ได้ที่ >> http://bit.ly/2Yseb3Y (ข้อมูลอัปเดตล่าสุด 25 มีนาคม 2562)
2) รุ่นรถบรรทุกขนาดเล็ก (กระบะ) ที่ใช้น้ำมันดีเซล B20 ได้
ทั้งนี้นอกจากรถบรรทุกขนาดใหญ่แล้ว กระทรวงพลังงานและสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยได้ประกาศยี่ห้อรุ่นรถบรรทุกขนาดเล็กอย่างรถปิกอัพกระบะที่สามารถใช้น้ำมันดีเซล B20 ได้โดยไม่มีปัญหารวม 102 รุ่น ซึ่งเป็นรถยนต์จาก 2 ค่ายใหญ่อย่างโตโยต้า จำนวน 70 รุ่น และอีซูซุ จำนวน 32 รุ่น ซึ่งเราจะไปดูกันครับว่าสำหรับรถยนต์อีซูซุนั้น มีรุ่นไหนสามารถใช้น้ำมันชนิดนี้ได้บ้าง
⬛️ รถยนต์กระบะอีซูซุ D-Max
รุ่นตั้งแต่ปี 2012 – 2019 จำนวน 20 รุ่น สามารถใช้น้ำมัน B20 ได้ภายใต้คำแนะนำและการตรวจสอบ รวมถึงการเปลี่ยนชิ้นส่วนเมื่อจำเป็นโดยศูนย์บริการมาตรฐานอีซูซุ
⬛️ รถยนต์กระบะอีซูซุ MU-X
รุ่นปี 2014 – 2019 จำนวน 12 รุ่น สามารถใช้น้ำมัน B20 ได้ ภายใต้คำแนะนำและการตรวจสอบรวมถึงการเปลี่ยนชิ้นส่วนเมื่อจำเป็นโดยศูนย์บริการมาตรฐานอีซูซุ
สำหรับรายละเอียดสามารถดาวน์โหลดเอกสารตรวจสอบรายชื่อรถบรรทุกขนาดใหญ่ได้ที่ >> http://bit.ly/2Edpgh5 (ข้อมูลอัปเดตล่าสุด 18 เมษายน 2562)
หลังจากได้รู้กันไปแล้วว่าน้ำมันดีเซล B20 นั้นคืออะไร และมีประโยชน์อย่างไรบ้าง ก็อาจทำให้หลายคนเริ่มที่จะหันมาให้ความสนใจเกี่ยวกับการใช้น้ำมันชนิดนี้กันมากขึ้น ซึ่งจากสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา หรือแม้แต่ราคาน้ำมันปาล์มที่ผันผวนจนเกษตรกรได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า ทำให้กระทรวงพลังงานได้อุดหนุนราคาน้ำมันเพื่อรณรงค์ให้ประชาชนผู้ใช้รถยนต์กระบะหันมาใช้น้ำมันดีเซล B20 กันเพิ่มขึ้น ดังนั้นก่อนที่เราจะทำการเปลี่ยนไปใช้น้ำมันดีเซล B20 ทางอีซูซุพระนครขอแนะนำให้แวะเข้ามาที่ศูนย์บริการทั้ง 12 สาขาของเราเพื่อรับคำแนะนำการใช้งานที่ถูกต้องกันนะครับ ซึ่งศูนย์บริการของเราเปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00 – 18.00 น.
……………………………………………………….
ที่มาข้อมูล