ฟิล์มกรองแสงรถยนต์หรือฟิล์มติดรถยนต์ ที่ทราบโดยพื้นฐานกันว่ามีคุณสมบัติลดความสว่างของแสงเข้ามาผ่านในรถ ช่วยลดรังสี UV และช่วยลดความร้อนภายในห้องโดยสารได้เป็นอย่างดี สัมผัสได้จากรถยนต์คันไหนที่ไม่ได้ติดฟิล์ม ภายในรถจะร้อนระอุและแอร์จะทำงานหนักเพิ่มมากขึ้น ซึ่งการเลือกฟิล์มกรองแสงสำหรับรถยนต์ทั่วไปถือเป็นเรื่องที่ไม่ยากอย่างที่คิดครับ แต่จะให้ประหยัดและคุ้มค่า เบื้องต้นนั้นเราก็ควรมีความเข้าใจพื้นฐานและระบบการทำงานของฟิล์มกรองแสงเสียก่อน เพราะจะช่วยทำให้การตัดสินใจเลือกซื้อฟิล์มติดรถยนต์ของเรานั้นง่ายขึ้นไปอีกครับ
ดังนั้นวันนี้เราจึงมี 5 เทคนิคเลือกฟิล์มติดรถยนต์มาแนะนำให้ทุกคนได้รู้และเข้าใจเรื่องพื้นฐานและระบบการทำงานของฟิล์มก่อนตัดสินใจเลือกซื้อกันครับ ไปดูว่ามีวิธีไหนกันบ้าง
1. เลือกฟิล์ม
สำหรับฟิล์มกรองแสงที่ดีนั้น จะต้องไม่ใช่ฟิล์มที่ช่วยลดแสงจ้าได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้นนะครับ แต่ต้องมีความสามารถในการสะท้อนแสงอาทิตย์ได้ด้วย ซึ่งนั่นหมายความว่าฟิล์มกรองแสงที่เข้มมากๆ ก็ไม่ได้แปลว่าจะช่วยลดความร้อนให้กับรถยนต์ของเราได้ดี ซึ่งการเลือกฟิล์มกรองแสงที่ดีนั้น เราควรดูจากเปอร์เซ็นต์การลดความร้อนเป็นหลัก ตามมาด้วยเปอร์เซ็นต์การลดรังสียูวี เปอร์เซ็นต์การสะท้อนแสง และสุดท้ายก็คือเปอร์เซ็นต์แสงส่องผ่านนั่นเองครับ
2. รู้จักชนิดของฟิล์มติดรถยนต์
แบบไม่มีส่วนผสมของสารป้องกันรังสีที่มาจากแสงแดด
ฟิล์มชนิดนี้จะมีคุณสมบัติเฉพาะในส่วนของการกรองแสงจากดวงอาทิตย์ให้อ่อนลงเมื่อส่องผ่านกระจกเข้ามาภายในตัวรถยนต์เท่านั้น โดยฟิล์มประเภทนี้จะลดความเข้มของแสงได้เพียงอย่างเดียว แต่จะไม่สามารถกรองหรือลดอันตรายและความเข้มของรังสีต่างๆ ที่แฝงมากับแสงแดดได้ ฟิล์มชนิดนี้จึงไม่ค่อยได้รับความนิยมนัก นอกจากนี้ยังกันความร้อนได้ไม่เกิน 50% อีกทั้งราคาก็ค่อนข้างถูกกว่ารุ่นอื่น อยู่ที่ประมาณ 800 – 1,500 บาท/คัน และอายุการใช้งานสั้นประมาณ 3 – 5 ปี
แบบมีส่วนผสมของสารป้องกันรังสีที่มาจากแสงแดด
ฟิล์มชนิดนี้ ตัวเนื้อฟิล์มจะมีการเพิ่มวัสดุพิเศษซ้อนเข้าไปเพื่อเป็นตัวป้องกันรังสีต่างๆ ที่เป็นอันตรายต่อทั้งผู้โดยสารและชิ้นส่วนอุปกรณ์ที่ถูกแสงแดด โดยฟิล์มกรองแสงชนิดนี้ค่อนข้างเป็นที่นิยมเนื่องจากคุณสมบัติที่ดีแม้ว่าราคาจะสูงกว่าชนิดก่อนหน้านี้ก็ตาม ซึ่งฟิล์มชนิดนี้แบ่งเป็นประเภทย่อยๆ ได้อีก 4 กลุ่มด้วยกันดังนี้ครับ
◼️ ฟิล์มปรอท ฟิล์มเคลือบโลหะ และฟิล์มลดความร้อน
◼️ ฟิล์มอินฟราเรด
◼️ ฟิล์มนิรภัย
◼️ ฟิล์มใสประเภทนาโน
3. ติดฟิล์มกี่เปอร์เซ็นต์ดี?
เป็นคำถามที่หลายคนโดยเฉพาะมือใหม่ที่กำลังมองหาฟิล์มติดรถกันใช่มั้ยครับ? ซึ่งฟิล์มติดรถยนต์นั้นเปอร์เซ็นต์ที่ใช้เรียกกันจริงๆ ก็คือเปอร์เซ็นต์ที่แสงสามารถส่องผ่านเข้ามาได้ โดยคำว่า 40% 60% หรือ 80% นั้นจะเป็นภาษาโดยทั่วไปที่เรามักใช้เรียกตามระดับความเข้มของฟิล์มนั่นเอง โดยไม่มีหลักเกณฑ์ที่แน่นอนในการวัด และฟิล์มแต่ละยี่ห้อก็จะมีค่ากำหนดที่แตกต่างกันไปตามแต่ละบริษัทที่จะออกแบบมา โดยค่าของฟิล์มแต่ละเปอร์เซ็นสามารถอธิบายได้ง่ายๆ ดังนี้ครับ
◼️ ฟิล์ม 40% คือฟิล์มใส ที่มีค่าของแสงส่องผ่านได้ประมาณ 35%
◼️ ฟิล์ม 60% คือฟิล์มเข้มที่มีค่าของแสงส่องผ่านได้ประมาณ 20%
◼️ ฟิล์ม 80% คือฟิล์มเข้มที่สุดที่มีค่าของแสงส่องผ่านได้ประมาณ 5%
4. การรับประกันคุณภาพฟิล์ม
อีกเรื่องที่สำคัญสำหรับการเลือกซื้อฟิล์มกรองแสงก็คือการรับประกันคุณภาพฟิล์มนั่นเองครับ โดยการรับประกันคุณภาพของฟิล์มนั้นเป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาควบคู่ในการตัดสินใจ โดยทั่วไปแล้วฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์จะมีการรับประกันคุณภาพไม่ต่ำกว่า 5 ปี บางรายรับประกันคุณภาพนานถึง 7 หรือ 10 ปี ขึ้นไป โดยขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของการรับประกันอีกทีครับ
5. ร้านติดตั้งและช่างชำนาญการ
มาถึงข้อสุดท้ายนี้ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ก็คือส่วนของการเลือกร้านติดตั้งและช่างที่ชำนาญการที่จะทำให้เราได้ฟิล์มกรองแสงคุณภาพดีและงานที่เรียบร้อยไม่มีปัญหาตามมาภายหลังอีกด้วยครับ ซึ่งทางที่ดีเราควรหาร้านจากผู้ที่เคยใช้บริการมาก่อนเพื่อเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด มันคงไม่คุ้มอย่างแน่นอนครับ ถ้าหากเลือกฟิล์มกรองแสงคุณภาพดีได้แล้ว แต่กลับเลือกร้านติดตั้งและช่างชำนาญการไม่ดี
ทั้งนี้การเลือกใช้ฟิล์มจริงๆ ควรจำไว้ว่าฟิล์มกรองแสงที่ดีไม่ใช่ฟิล์มที่ช่วยลดแสงจ้าได้เพียงอย่างเดียว แต่ต้องมีความสามารถในการสะท้อนแสงอาทิตย์ได้ ทำให้ผู้ใช้รู้สึกสบายในการขับขี่ และควรคำนึงถึง งบประมาณ และความจำเป็นของคนขับเป็นหลัก ใช้รถยนต์บ่อยแค่ไหน ขับรถยนต์ช่วงไหนเป็นหลักเพราะ ราคาของฟิล์มติดรถยนต์มีความแตกต่างกันในเรื่องราคา แบบถูกๆ ก็หลักร้อย แบบดีๆ ก็โดดไปเป็นหลายหมื่นกันเลยทีเดียว
ดูรุ่นรถอีซูซุ คลิก
ดูโปรโมชันล่าสุด คลิก
…………………………………………………..
ที่มา : Asia Direct, Car Kapook, Checkraka